ของจริง ของปลอม
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์เช้า วันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๔๐
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เวลาบิณฑบาต เห็นไหม เขาถามว่าพระไปไหนหมด ทำไมอยู่องค์เดียว เขาถามเลยว่าพระสึกแล้วหรือ? พระที่อยู่กับเราสึกหมดแล้วใช่ไหม? ทำไมเราถึงอยู่องค์เดียว นี่โลกเขามองกันอย่างนั้น มองแต่ฉากไง มองแต่ไปไหนมีแต่คนล้อมหน้าล้อมหลังไง มองแต่เฟอร์นิเจอร์ไง ไม่ได้มองค่าของใจคนไง เราบอกเลยแหละ พระเรา เราส่งไปอยู่หัวหิน
สมัยพุทธกาลนะ ออกพรรษานี่ พระอยู่ในวัดเขาไปติเตียนพระพุทธเจ้าเลยว่าพระนี่มันไม่มีทิศ คือว่าเหมือนกับคนอั้นตู้ไปไหนไม่รอดไง หมกอยู่เหมือนหมูในเล้าไง หมูที่อยู่ในเล้า เขาเลี้ยงขุนไว้ในเล้าก็ร้องอู๊ดๆ อยู่ในเล้านั่นแหละ เขาบอกว่าเหมือนคนไม่มีทิศ ทำไมออกพรรษาแล้ว ลัทธิศาสนาอื่นแบบว่าเขาหมุนเวียนไง พระพุทธเจ้าถึงได้พาพระออกธุดงค์
ถึงเวลาอยู่ในพรรษา เมื่อก่อนพอออกพรรษาพระจะเวียนออกธุดงค์ ไม่อยู่กับที่ไง ไม่ให้จำพรรษาอยู่ในพื้นที่ เพราะอยู่ในพื้นที่แล้วมันจะยึดไง ทุกคนจะยึดกัน เราก็เป็นเจ้าของวัด ไอ้โยมก็ว่าเป็นเจ้าของพระ ก็เลยยึดกัน ผูกพันกันตายอยู่อย่างนั้นไง เขาถึงไม่ให้อยู่อย่างนั้น ให้เวียนออกๆ ทีนี้พอเรามาทำให้เวียนออก มันก็เลยหาว่าพระสึกหรือ? พระอยู่ไม่ได้หรือ? ไอ้พระอยู่ได้ต้องอยู่กันเป็นหมูอย่างนั้นหรือ? นี่เขาว่าอย่างนั้นนะ
ถามนี่ถามหลายคน แปลก ถามถึง ๓-๔ คนเลยนะว่าพระไปไหน? พระไปไหน? มีอยู่เจ้าหนึ่งถามว่าพระสึกหรือ? เขาว่าอย่างนั้นเลยนะ ถ้าเขาจะสึกโดยธรรมชาติของเขา มันก็เรื่องของเขา มันประกันใครไม่ได้หรอก ใครจะอยู่ ใครจะสึก แต่ในเมื่อความคิดของโลก นี่คือความคิดของโลก เห็นไหม แล้วก็ความคิดของธรรมไง
ความคิดของธรรม เห็นไหม ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา หัวใจนี่มาอาศัยร่างกายนี้เป็นแค่เรือจ้างไง แค่เรือจ้าง แค่รถ เราขับรถมา เราก็อาศัยรถมาที่นี่ได้ คนเกิดมานี่อาศัยร่างกายเป็นเรือน เป็นรัง แต่หัวใจอยู่ในรถนั้น อยู่ในเรือนรังนั้น ฉะนั้น ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ร่างกายนี้เป็นที่สถิต เป็นที่เกิดของโรคของภัย แต่เราได้มานี่มันมีเฉพาะเรานะ เฉพาะมนุษย์กับสัตว์เดรัจฉานที่ได้เสวยในอบายภูมิ ที่ได้มีกายกับใจนะ นรก สวรรค์ กายทิพย์นี่
อย่างเช่นทำบุญกันมา คือว่ากายเป็นทิพย์ๆ ทิพย์หมายถึงวิญญาณไง วิญญาณที่ออกไป อย่างเช่นเราตายไปนี่ เราทำความดีเราไปเกิดบนสวรรค์ มันมีแต่หัวใจล้วนๆ เป็นเรื่องของนามธรรมไง จะใช้คำว่าวิญญาณก็ได้ แต่ใช้คำว่าวิญญาณนี่มันฟั่นเฟือนไง
คำว่าวิญญาณ.. โลกของวิญญาณกับโลกของปัจจุบันเรา แต่มนุษย์มีโลกของวิญญาณซ้อนอยู่ในกายเราด้วยไง เรามีกายแล้วก็มีวิญญาณอยู่ในนี้ เพราะมีกายตัวนี้ไง เราถึงได้ว่าให้พิจารณามันเหมือนกับมีสิ่งที่จับต้องได้ แล้วพิจารณาได้ ถึงบอกว่าให้พิจารณากายนี้ไม่ใช่เรา พระพุทธเจ้าสอนเรื่องธรรมะไง สอนว่า กายนี้ไม่ใช่เรา กายนี้เป็นเครื่องอยู่อาศัย
แต่ทางวิทยาศาสตร์ทางโลกว่าเราสิ เป็นเราสิ เกิดมานี่ต้องคิดตั้งแต่เด็กเลย เด็กต้องพัฒนาอย่างไรให้ไอคิวมันสูง ให้มีความรู้ โตขึ้นไปจะได้ใช้ร่างกายให้เป็นประโยชน์ ทำงานทำการขึ้นไป วิทยาศาสตร์พยายามจะพูดเลยให้ยึดร่างกายนี้ แล้วพยายามจะแบบว่าให้ร่างกายนี้เข้มแข็ง ไม่เป็นผู้ทุพพลภาพ จะได้ทำงานได้สะดวก อันนั้นถูกต้อง นี่โลกเขาบอกว่าร่างกายต้องเป็นเรา แล้วจะพยายามทำให้ร่างกายนี้ยั่งยืนไง พยายามจะหายามาต่อให้ร่างกายนี้ยั่งยืน
นี้เรื่องของโลก เรื่องของโลกกับเรื่องของธรรม เรื่องของโลกเขาไม่ใช้เรา แต่ถ้าเราบอกเป็นเรื่องของธรรมนี่มันฟั่นเฟือนกันนะ ฟังให้ดีนะ ฟั่นเฟือนกันคือว่าถ้าปัจจุบันนี้เราเจ็บไข้ได้ป่วย เราคุยกันเราก็ยังพูดเลยว่าเราก็ป่วย เราต้องหายามากิน เห็นไหม ทำไมต้องรักษาล่ะ? ถ้าไม่ใช่เราทำไมไม่สละทิ้งไปเลย
ไม่ใช่เราในความยึดมั่น ไม่ใช่เราในอุปาทาน ไม่ใช่เราเพราะความเป็นทุกข์เป็นยาก แต่เป็นเราเพราะเราเป็นมนุษย์ เราเป็นเราสิ เราเป็นเราขณะนี้เราต้องรักษาเรา แต่ไม่ให้มีความยึดมั่นว่าอันนี้เป็นเรา ถ้าตรงนั้นไม่ยึดมั่นนะ แล้วมันก็รักษาร่างกายนี้ไป ร่างกายนี้กลับดีด้วย เช่นเจ็บไข้ได้ป่วยนี่ โอ๋ย.. มันเป็นอย่างนั้นเนาะ มันไม่วิตก วิจารไง มันจะพาร่างกายนี้ไปให้หมอรักษาได้ง่ายนะ ถ้าเราไปเครียดมาก โรคเครียดทำให้ร่างกายนี้เสียไปด้วย เห็นไหม
นี่พระพุทธเจ้าสอนสองชั้นนะ ถึงบอกว่าโลกของวิญญาณที่ว่าเป็นทิพย์ๆ คำว่าเป็นทิพย์นี่วิญญาณไง โลกวิญญาณมันไม่มีร่างกายนี้เข้าไปบีบรัดไง ฉะนั้น เวลาสุขก็สุขมากนะ เวลาเกิดเป็นเทวดาจะมีความสุขมาก แต่เวลาทุกข์ก็ทุกข์มากนะ แต่ทุกข์ไม่ตาย แต่มนุษย์ถ้าทุกข์ถึงขาดอาหารไปนี่ตายทันทีเลย นี่มันหมุนเวียนไปไง จิตนี้มันหมุนเวียนไป ถึงบอกว่ามองกันแต่วัตถุไง มองกันแต่ฉากไง มองกันแต่สิ่งนี้ไง ไม่มองกันถึงนามธรรมไง
สมัยก่อนนะ พยายามจะให้เด็กมีความคิด มีจินตนาการ พยายามจะเสริมวิญญาณตัวนี้ให้เข้มแข็งไง ให้เด็กมีความคิด พยายามจะสอนให้มันมีวิสัยทัศน์ ว่าอย่างนั้นเลยนะ ให้มีความคิดไปข้างหน้า มันเป็นการคำนึงไง เป็นการใคร่ครวญให้จิตนี้ให้ปัญญามันเกิด เห็นไหม ร่างกายมันใช้อะไรได้ประโยชน์ขึ้นมา ร่างกายนี่ ทีนี้เราก็ยังติดกันๆ
ติดมันเป็นติด ไม่ใช่ปฏิเสธนะ เหมือนกับใช้กำปั้นทุบดินไง ถ้าปฏิเสธนะก็อย่างนี้แหละ คนเราถ้าศึกษาศาสนาศึกษาไม่รอบคอบ เห็นไหม ทุกข์เพราะมีเรา มีลัทธิหนึ่งเมื่อก่อนนี้อยู่ประสานมิตรให้ฆ่าตัวตายไง ลัทธิฆ่าตัวตาย.. ทุกข์เพราะมีเรา กำจัดเราแล้วก็ไม่มีทุกข์ไง แล้วทำอย่างไรถึงไม่ให้มีเรา ฆ่าตัวตายซะ ฆ่าตัวตายเพื่อหนีไง หนีตรงนี้ไง หนีเราไง
มันไม่ใช่ มันฆ่าตรงอุปาทานยึดมั่นถือมั่นตรงนี้ไง ความยึดมั่นถือมั่นไง สิ่งใดอาศัยได้อาศัยไป สิ่งใดอาศัยไม่ได้นะเราต้องแก้ไข ถ้าแก้ไขแล้วก็อยู่กันไป อยู่กันไปอย่างเช่นอัมพฤกษ์เนี่ย อัมพฤกษ์ร่างกายใช้ไม่ได้ เห็นไหม ทำไมต้องอยู่กันไปล่ะ? เพราะจิตนี้ยังไม่ดับ นี่วัตถุมันเป็นแบบนั้นไง ก็มองกันที่วัตถุไง มองกันแต่ฉากไง แต่ไม่ได้มองกันถึงหัวใจ
นี่ความจริง สิ่งที่เป็นความจริงอันประเสริฐ อริยสัจ ความจริงประเสริฐ แต่เราเข้าไม่ถึง เราเข้าได้แต่ความจริงปลอมๆ ไง ความจริงโดยสมมุติ นี่การเกิดการตายเป็นเรื่องความจริง แต่มันสมมุติขึ้นมา เห็นไหม เพราะอะไรถึงสมมุติ เพราะถ้าปฏิบัติถึงที่สุดแล้วมันไม่มีการเกิดและการตาย แม้แต่มีชีวิตอยู่ นี่กิเลสมันขาดแล้ว มันขาดตอนกิเลสตายนะ เวลาตายไม่มีตาย มันแปรสภาพ
การเกิดการตายนี่ยังเป็นสมมุติเลย การเกิดและการตายนี้เป็นสมมุตินะ แต่เป็นความจริงไหม? จริงสิ เพราะคนตายตลอด คนเกิดตลอด แต่มันเป็นสมมุติ สมมุติเพราะอะไร? เพราะมันยังหมุนอยู่ มันยังเป็นโลกอยู่ไง เป็นสมมุติอยู่ ถ้าเป็นวิมุตติเป็นธรรมแท้มันไม่มี กิเลสตายมันก็จบ พอกิเลสตายจบแล้ว พอจบแล้วไม่มีการเกิดและการตาย แค่แปรสภาพไป ทุกอย่างกลับไปคงที่ไง กลับไปอยู่ที่เดิมของตัว
ร่างกายนี้ประกอบด้วยดิน น้ำ ลม ไฟ กลับไปที่เก่าของเขา วิญญาณตัวนี้วิญญาณแท้ก็กลับไปที่เก่าของเขา ที่เก่าของเขานะ แต่เมื่อก่อนไม่เป็นอย่างนี้ เมื่อก่อนที่เก่าของกิเลส แต่ชำระแล้วไม่ใช่ที่เก่าของกิเลสนะ มันเป็นที่นิพพาน เป็นที่วิมุตติ เป็นที่หลุดพ้น เป็นที่ไม่เวียนกลับมาอีก ไม่มีอีกเลย นี่ความจริงแท้ไง
นี่มันถึงว่าจะเข้ามันเข้ายากอย่างนี้ ก่อนจะเริ่มฉายหนังต้องกางจอหนัง เราไปถึงไปดูหนังกัน อู้ฮู.. สนุกสนานนะ แต่ไม่ดูตอนเย็นก่อนหนังมันจะฉายมันขึงจอกัน มันต้องแบกเหล็กมาขนาดไหน
นี่ก็เหมือนกัน ก่อนจะทำอะไรขึ้นมามันมีอุปสรรคไปหมด เห็นไหม ก่อนจะภาวนา ก่อนจะเข้าวัด มาวัดนี่มาทำไม? คนที่มาวัดทุกคนนี้มีปัญหาหมดนะ ถ้าไม่มีปัญหาจะไม่มาวัด นั่นเขาว่าไปนั่นเลย มีปัญหาสิ เพราะมีทุกข์ มีทุกข์ถึงได้ต้องมาวัด มีทุกข์นะ แต่อีกฝ่ายหนึ่งก็ไม่ใช่สิ อีกฝ่ายหนึ่งเขาเข้าใจ เขาเข้าใจ เขาจะเอาความจริง เขาจะเอาตามความเป็นจริงเขาก็มาวัด ศึกษาธรรมะแล้วรู้ตามความเป็นจริง
นี่เวลาเขาถามขึ้นมาแล้วมันสะเทือนนะ เราไม่พูดเลยแหละ เขาถามว่าพระสึกหมดเลยหรือ? ไม่มีใครอยู่ เหมือนกับเราไม่มีความสามารถเลยไง มันก็ต่ำต้อย แต่เขาไม่รู้ในหัวใจเรานะ อื้อฮือ.. เฮ๊อะ! ไอ้พระเรานี่ เราจะฝึกพระ เราจะให้พระออกไปวิเวก แล้วออกไป เห็นไหม ดูเมื่อวานมา ไปถึงก็ออกบ้านใหญ่เลย บิณฑบาตนู่นเลย มันกลับไปทำอย่างนั้น อาชาไนยไง ไอ้.....มันใช้ได้เลยล่ะ ไปถึงก็บิณฑบาตหมู่บ้านใหญ่เลย
ออกมาข้างนอก เพราะเขามาบอกว่าออกไปบิณฑบาตบ้านใหญ่ แต่ทางนี้ยังคิดเลย คิดว่าถ้าอยู่นี่ เห็นไหม ถ้าอยู่มีคนล้อมหน้าล้อมหลังมากๆ ถึงจะเป็นผู้ที่แบบว่ามีชื่อเสียงกิตติคุณไง กิตติคุณของกิเลส กิเลสมันอยากให้นอนกันเป็นหมู มันไม่ใช่กิตติคุณของธรรม กิตติคุณของธรรมเป็นนอแรดไง นอแรดไปได้หนึ่งเดียว นอแรดมันอาศัยตัวมันเองได้ไง ผู้ที่อาศัยตัวเองได้ ยืนบนขาของตัวเองได้
อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ต้นไม้นั้นเป็นต้นโพธิ์ต้นไทร อีกามันได้มาเกาะ มาอาศัย ต้นไม้นั้นอยู่ไม่ได้เลย ไปไหนต้องอาศัยลูกศิษย์คอยประคองไว้ กลัวแต่หน้าตาฉันจะไม่มีไง ถ้ามีบริษัทบริวารแล้วฉันถึงจะยืนอยู่ได้ไง ประคองกันไว้นะ ต้นไม้ก็อ่อนแอจะล้ม อีกามันต้องไปบินกระพือปีกไว้กลัวต้นไม้จะล้ม แล้วก็บินไว้ เห็นไหม นี่ใครจะไปอาศัย
มันเป็นเรื่องของความเป็นจริงไง หัวใจที่มันยืนอยู่ได้นะ หัวใจที่เป็นธรรมไง เห็นไหม เปรียบเหมือนศิลาแท่งทึบ ยาว ๘ ศอก ปักดินอยู่ ๔ ศอก ลมพัดมา ฝนมาไม่สะเทือน.. ไม่สะเทือนนะ ไม่สะเทือนในความรู้สึกภายใน แต่กิริยาภายนอกมันเหมือนกับปุถุชนธรรมดานี่แหละ กิริยาภายนอกรับรู้ไง ผิดถูกรับรู้ สะเทือนตามความผิดถูก ผิดต้องผิด ถูกต้องถูก ตามนั้นตามความเป็นจริงเลย
หลายอย่างที่เป็นธรรม แล้วเดี๋ยวนี้โลกแปรไป เห็นเลย เห็นแล้วน่าคิดมาก น่าคิดมาก ความแปรไปของโลกเขา ต้องหลบเอา โลกธรรม ๘ ไง เวลามานี่เสียงสรรเสริญ สรรเสริญคู่กับนินทา เวลาสรรเสริญมาแป๊บเดียว ยิ้มกันแป๊บเดียว แล้วเดี๋ยวลับหลังนินทากันอีกแล้ว พอนินทาขึ้นมา เห็นไหม สรรเสริญเหมือนลมปาก เหมือนลมพัดมาวูบเดียว นินทามา ว่าร้ายมานี่เหมือนกับเสาเข็มทิ่มไปที่หัวใจไง เสาเข็มนะทิ่มลงไปที่หัวใจเลย มันเจ็บแสบ
ฉะนั้นถ้าถึงธรรมแล้ว ถึงปฏิบัติแล้วมันจะมีค่าเท่ากันไง มีค่าเท่ากัน โลกธรรม ๘ เป็นสมบัติเก่าแก่ดั้งเดิม มีแต่ไหนแต่ไรมา เวลามีความทุกข์มันต้องคิดถึงธรรมะข้อนี้ แล้วมันจะได้เบาไง ดูอย่างพระพุทธเจ้าสิ พระพุทธเจ้าบอกไว้เลยนะ
ในสามโลกธาตุนี้ คนที่โดนโลกธรรมรุนแรงเท่าพระพุทธเจ้าไม่มี
ขนาดนั่งเทศน์อยู่ ไอ้นั่นไปนั่งชี้หน้าเอาหมอนผูกไว้ที่ท้อง นี่ดีแต่สอนคนอื่น ตัวเองทำเขาไว้ ขนาดผิดขนาดนั้นนะ คำนี้มันถึงมาเข้ากับไอ้นี่ไง เข้ากับที่ว่าความบริสุทธิ์คนอื่นจะมาบอกไม่ได้ไง ความบริสุทธิ์คนๆ นั้นจะรู้เองไง พระพุทธเจ้าถึงได้บอกไง
เธอกับเราสองคนรู้กันเองนะ เธอกับเราสองคนรู้กันเองว่าเราผิดหรือไม่ผิด
ไปวิตก วิจาร คนอื่นไม่รู้หรอก คนกระทำนั่นแหละจะรู้ เห็นไหม นี่มันรู้กันสองคน มันรู้กับคนๆ นั้น ความบริสุทธิ์อยู่ที่ตัวบุคคลคนนั้นเอง ทีนี้ความบริสุทธิ์มันมีอยู่แล้ว มันเชื่อตรงนั้นแล้ว ไอ้อย่างที่การกระทำอย่างอื่นที่เป็นสิ่งย่อยออกมานี่มันเป็นไปได้ มันเป็นไปได้ไง
เขาคาดไม่ถึง พอคาดไม่ถึงก็จะเอาความโลกมาเป็นใหญ่ เอาความโลกมาคาดมาเดา จะให้ทำอย่างนั้นๆ ตามใจของตัวมันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ไง แต่ถ้ามันเชื่อกันด้วยความศรัทธาตัวแรก ไอ้ตรงนี้มันต้องมีเหตุมีผลของมันเป็นไปสิ เหตุผลของมันที่มันจะพลิกออกไป มันต้องมีกาลมีเวลา ต้องให้โอกาส ให้เวลาของกัน ไม่ใช่มาหักพร้าด้วยด้ามเข่า ไอ้จะให้มันเป็นไปอย่างใจคิดมันเป็นไปได้อย่างไร? กรรมมันมีมาอย่างนั้นตลอด
เรื่องกระแสของกรรม เรื่องการเกาะเกี่ยวกันมา ถึงมันจะแกะ มันจะแกะกันอย่างไรเท่านั้นเอง เห็นไหม กำมันกำไว้ พอมันแบมันก็หายใช่ไหม? ทีนี้มันจะแบอย่างไรออกมาให้มันสวย ให้มันงาม ให้มันเป็นประโยชน์แก่ทุกๆ ฝ่าย แบให้เป็นประโยชน์ ไม่ใช่แบออกมาด้วยการหักกัน แบออกมาได้เป็นประโยชน์ เพื่อไง
ความคิดนี่ คนวุฒิภาวะของใจมันสูงขึ้น มันจะเป็นผู้ใหญ่ขึ้น แล้วมันจะคิดเป็นประโยชน์มากขึ้น ไม่ใช่คิดแบบเด็กๆ แล้ว โตขึ้นเป็นผู้นำของคน เป็นผู้นำของโลก เป็นผู้นำของธรรม เป็นดวงตาของโลก!
พระพุทธเจ้าดับ เห็นไหม ดวงตาของโลกดับแล้วไง นี่มันถึงคิดหลายอย่าง คิดถึงโลกปัจจุบัน คิดถึงการเกาะเกี่ยว คิดถึงข้างหน้า ไม่อยากพูดนะ (เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)